Get to know A/B testing⚡️

ทำความรู้จักกับA/B testing⚡️

ในบทความนี้จะขอนำเสนอการเกี่ยวกับ A/B testing ว่าคืออะไร และใช้ทำอะไรกันค่ะ ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลย

🔸ทำความรู้จักกับ A/B testing

A/B testing หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า Split test คือการทดสอบในรูปแบบขององค์ประกอบต่างๆที่ขึ้นบนหน้าเว็บไซต์เพื่อที่จะหารูปแบบที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยที่วิธีการนั้นจะทำการแบ่งเป็นการแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะทำแบบทดสอบออกเป็นสองกลุ่มเท่าๆกัน โดยที่จะให้กลุ่มแรกนั้นเห็นในรูปแบบของ A และกลุ่มที่สองเห็นในรูปแบบของ B แล้วจากนั้นให้ทำการวัดผลว่าสองแบบนี้แบบไหนให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่ทำการตั้งเป้าหมายไว้ได้ดีที่สุด ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนสีของปุ่มกด Add to the cart เพื่อที่จะดูว่าระหว่างสีแดงหรือสีเขียวนั้น สีไหนที่ทำให้คนกดคลิกในเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่า ถ้าในเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่าเป็นสีแดงก็นำมาปรับใช้กับในเว็บไซต์ที่เป็นของจริงต่อไปนั่นเองค่ะ ซึ่งการทำA/B testing นั้นจะช่วยทำให้การปรับเปลี่ยนบนหน้าเว็บไซต์นั้นได้ผลลัพธ์ที่ดีในเชิงของธุรกิจ

🔸7ขั้นตอนในการทำ A/B testing

1.Business Objective : คือการทดสอบโดยการคาดหวังผลลัพธ์อะไร ต้องมีความชัดเจน

การกำหนด Business Objective ให้มีความชัดเจนนั้น เพื่อที่คุณนั้นจะสามารถนำมากำหนด KPIs และทำการเลือก KPI ที่จะนำมาเป็น Metric หลักในการที่คุณจะวัดผลการทำA/B test และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากและจำเป็นที่จะต้องมีในการทำ testทุกๆครั้ง เพราะถ้าหากคุณนั้นไม่มี Targeted Metric แล้วนั้นก็จะไม่มีอะไรที่สามารถจะบอกคุณได้ว่า A หรือ B แบบไหนที่จะส่งผลต่อธุรกิจของคุณ

2.Research : ให้คุณหาให้พบว่าอะไรที่เป็นปัญหาและต้องการการทดสอบแก้ไข

ขั้นตอนการหาข้อมูล หา Insight ต่างๆนั้น เพื่อที่จะได้นำเอาข้อมูลที่ได้มานั้นนำมาเป็นไอเดียในการที่คุณจะกำหนดข้อสันนิษฐาน โดยการทำ Research นั้นมีด้วยกันหลากหลายวิธี ดังนี้

-การใช้เครื่องมือในการช่วยเก็บข้อมูล แล้วนำมาวิเคราะห์ต่อ

-การทำ Usability test

-การทำ Customer Survey, Focus Group,และการทำ On-site Survey

3.Hypothesis : การตั้งข้อสันนิษฐานเพื่อทำการทดสอบผลลัพธ์

หลังจากที่คุณนั้นได้ข้อมูลจากการทำ Research จะนำข้อมูลที่ได้มานั้นใช้เป็นการตั้ง Hypothesis ขอยกตัวอย่าง หากการที่คุณทำ Customer Survey แล้วพบว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ของคุณนั้นไม่ทราบว่ามีการบริการจัดส่งฟรีและมีบริการชำระเงินปลายทาง ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งเหตุผลที่สำคัญที่กลุ่มเป้าหมายของคุณนั้นใช้ในการที่จะตัดสินใจซื้อสินค้า

4.Prioritise : จัดลำดับความสำคัญในการทดสอบทั้งหมด

ในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนการจัดลำดับของความสำคัญก่อนและหลังในการทำ test ซึ่งคุณควรมีการจัดลำดับความสำคัญให้ดีเพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเวลา

5.Design Test : ออกแบบการทำการทดสอบให้ดี เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ

ขั้นตอนการออกแบบการทดสอบนั้น ในหัวข้อนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับ Hypothesis ที่คุณตั้งไว้โดยตรง เพื่อที่คุณนั้นจะได้นำมาออกแบบการทดสอบได้ต่อไป ซึ่งประเด็นสำคัญนั้นคือเรื่องของการที่คุณต้องตั้งกลุ่มเป้าหมาย จำนวนของกลุ่มเป้าหมายในการทดสอบที่มีความเหมาะสม เพื่อให้การที่จะทำtestนั้นมีความถูกต้องได้มากที่สุด

6.Run test : การลงมือทดสอบจริง

หลังจากที่คุณนั้นเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็มาถึงขั้นตอนที่จะทำการทดสอบจริงตามที่ได้ทำการออกแบบไว้ในขั้นตอนที่5

7.Analyze : วิเคราะห์ผลให้ถูกต้องด้วย Google Analytics

เมื่อมีการทำการทดสอบแล้วนั้น ก็ต้องมีการทำการวัดผลที่เกิดขึ้น ซึ่งผลลัพธ์จะเป็นประโยชน์และมีความถูกต้องมากหรือน้อยแค่ไหนให้นำมาทำการวิเคราะห์ด้วย Google Analytics เพื่อที่จะทำการหาพฤติกรรมต่างๆของกลุ่มคนทั้งสองกลุ่มที่ผ่านการทำการทดสอบว่ามีพฤติกรรมต่างๆ บนเว็บไซต์นั้นเป็นอย่างไรนั่นเองค่ะ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทุกท่านนะคะ แล้วพบกันใหม่ได้ในบทความต่อไป ขอบคุณค่ะ

-----------------------------------------------------------------------------------

รายละเอียดบริการดูแลการตลาดออนไลน์

>> https://www.chatstickmarket.com/langran

ตัวอย่าง ผลงานแบรนด์ต่างๆ ที่เราดูแลการตลาดออนไลน์ให้

>> https://www.chatstickmarket.com/portfolio

------------------------------------------------------------------------------------

💙ปรึกษาทีมงานของเรา💙

📱Tel : 0840104252 📱0947805680

สายด่วนออฟฟิศ : 034-900-165 , 02-297-0811 (จันทร์-ศุกร์)

📨 Inbox : http://m.me/ChatStick.TH

┏━━━━━━━━━┓